ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจราคาผักสด ที่ตลาดโบว์ลิ่ง อ.เมือง จ.จันทบุรี พบว่า บรรยากาศการซื้อขายภายในตลาด ยังคงมีลูกค้าแวะเวียนมาหาซื้อกันเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่คึกคักมากนัก ส่วนราคาผักส่วนใหญ่ยังคงที่ เช่น พริกขี้หนูสวนราคา 130-140 บาท/กิโลกรัม มาตั้งแต่ต้นเดือน มีเพียงต้นหอมเท่านั้น ที่มีการปรับราคาขึ้น จาก 70-80 บาท ปรับขึ้นเป็น 100-120 / กิโลกรัม
นายทรงเกียรติ ปลั่งขำ พ่อค้าขายผักรายหนึ่ง ในตลาดโบว์ลิ่ง เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า สาเหตุที่ผักบางชนิดมีการปรับราคาขึ้นน่าจะมาจากน้ำมันแพง เพราะเสียค่าส่งขนค่อนข้างมาก รวมไปดูสภาพอากาศในช่วงนี้ ที่แปรปรวน อาจจะมีฝนตกในพื้นที่เพาะปลูก ทำให้เก็บผลผลิตยาก ผลผลิตเสียหาย จึงเป็นไปตามกลไกการตลาด ส่วนวิธีการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ก็เปลี่ยนวิธีการซื้อผัก จากที่เคยไปซื้อเองที่ตลาดสี่มุมเมือง ต้องเสียค่าน้ำมันเที่ยวละ 3,000-3,500 บาท เปลี่ยนเป็นฝากญาติ หรือ ฝากเพื่อนร่วมอาชีพซื้อ แล้วค่อยมาคิดค่าหิ้ว เป็นกิโลกรัม ก็จะคุ้มกว่า เพราะถ้าไปซื้อเองแล้วขายไม่หมด ก็จะเสียทั้งค่าน้ำมันไปซื้อ และเสียทั้งกำไรในการลงทุน ส่วนพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคช่วงนี้ อาจลดลงไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังขายได้เรื่อย ๆ เช่น ผักชี ต้นหอม พริกสด ถือเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในครัวเรือน โดยจากแต่ก่อนขายได้ 100% ตอนนี้เหลืออยู่ประมาณร้อยละ 70 พร้อมกันนี้ยังกล่าวต่อว่า หากมีการปรับขึ้นราคาสูงกว่านี้ ก็จำเป็นต้องขึ้นด้วยเหมือนกัน แต่จะขึ้นไม่มาก ขึ้นเพียง 10 บาท/ กิโลกรัม เพราะเน้นผู้ขายอยู่ได้ ผู้บริโภครับได้
ด้านนายพจน์นาถ วงศ์เกษมศิริ พ่อค้ารายย่อย ที่มารับผักไปขาย เปิดเผยว่า จากแต่ก่อนจะมาซื้อผักเป็นจำนวนมาก และตุนไว้ขายได้ แต่ตอนนี้ มาซื้อแค่พอขายแบบวันต่อวัน เพราะบางชนิดมีราคาสูง เช่น ต้นหอม ถ้าเกิดขายไม่หมด ก็จะขาดทุน เลยเลือกที่จะซื้อในจำนวนที่น้อยลง ส่วนราคาขายก็ขายตามสถานการณ์ เช่น ช่วงไหนผักแพงก็ปรับราคาขึ้น ช่วงไหนผักถูกลงก็ปรับราคาลดลงตามฤดูกาล ไม่ได้เอาเปรียบผู้บริโภคแต่อย่างใด โดยลูกค้าส่วนใหญ่นั้น ก็เข้าใจดีในราคาในแต่ละช่วง ส่วนการขาย ลูกค้าก็ยังคงซื้อกันตามปกติ ไม่ได้ลดลงไปมากเท่าไหร่ ส่วนราคาผักที่ขึ้น คิดว่าน่าจะเกิดจากสภาพฝนฟ้าอากาศ และราคาน้ำมันที่กระทบต่อค่าขนส่ง ก็อยากวอนผู้ที่มีส่วนที่เกี่ยวข้องช่วยควบคุมและตึงราคาไม่ให้สูงไปกว่านี้ เพราะขณะนี้ภาระต้นทุนก็สูงอยู่แล้ว
